วิธีเทรดรูปแบบ Wyckoff ใน Forex

06 Feb, 2025 อ่าน 13 นาที

หลักการ Wyckoff คืออะไร

วัฏจักรตลาดของ Wyckoff

วิธีระบุระยะต่าง ๆ ในวัฏจักรตลาดของ Wyckoff

ระยะสะสม

ระยะแจกจ่าย

ข้อดีและข้อเสียของรูปแบบ Wyckoff

วิธีเทรดโดยใช้รูปแบบ Wyckoff

ข้อสรุป


คุณ Richard Wyckoff ถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการวิเคราะห์ทางเทคนิค หลังจากที่เขาสร้างความมั่งคั่งในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาได้แบ่งปันแนวคิดสำคัญของหลักการของเขาในหนังสือของเขา แนวคิดเข้าใจง่าย แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกทฤษฎี Wyckoff และเรียนรู้วิธีที่จะนำมาใช้กับตลาด Forex โดยเจาะลึกระยะสำคัญในวัฏจักรตลาดของ Wyckoff


หลักการ Wyckoff คืออะไร

คุณ Richard D. Wyckoff เสนอแนะว่าทุกตลาดเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร ในหนังสือ 'Studies in Tape Reading' ของเขา เขาอธิบายวัฏจักรสี่ระยะที่เกิดขึ้นในตลาด กราฟด้านล่างแสดงให้เห็นภาพวัฏจักรสี่ระยะ


1. ระยะสะสม
2. ระยะเติบโต
3. ระยะแจกจ่าย
4. ระยะถดถอย

เราจะพิจารณาหลักการอย่างละเอียดยิ่งขึ้นในบทความนี้

ตอนนี้ เรามาดูที่คุณ Richard Wyckoff นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นและนักลงทุนผู้มีอิทธิพลตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งหลักการของเขายังคงสามารถใช้ได้กับทุกตลาดการเงิน รวมถึง Forex

สมัยยังหนุ่ม คุณ Wyckoff เริ่มทำงานในตลาดหุ้น ซึ่งเขาพบปะกับนักเทรดและโบรกเกอร์ เขาศึกษาข่าวลือและเหตุผลเบื้องหลังความล้มเหลวของตลาด เขาสรุปว่าความสำเร็จของนักเทรดไม่ได้ขึ้นอยู่กับข่าว เพราะตลาดรวมไว้ในราคาอย่างรวดเร็ว ทำให้เหลือโอกาสสร้างเงินกำไรเพียงเล็กน้อย ขณะที่ข่าวลืออาจช่วยให้ทำกำไรได้ แต่ก็ยากที่จะตรวจสอบ แถมการพยากรณ์ความแม่นยำของข่าวลือก็แทบเป็นไปไม่ได้

คุณ Wyckoff แนะนำให้สนใจข้อมูลตลาดที่สามารถวัดได้ เช่น ราคาสินทรัพย์ ปริมาณการเทรดและระดับสำคัญกับแนวโน้มที่สะท้อนข้อมูลการเทรดสำคัญ เขาพัฒนาระบบเทรดตามแนวคิดที่ว่าผู้เข้าร่วมตลาดรายใหญ่ (ผู้ที่มีปริมาณการเทรดสินทรัพย์จำนวนมาก) จะต้องปิดฐานะเพื่อรับรู้ผลกำไร/ผลขาดทุนเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

ผู้เข้าร่วมรายใหญ่ต้องประเมินความต้องการจาก 'ฝูงชน' ปั่นราคาอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ราคาสูงหรือต่ำเกินไปเพื่อสร้างเงินกำไรสูงสุด ณ ระดับราคาปัจจุบัน

ในสถานการณ์นี้ นักเทรดที่มีประสบการณ์สู้กับนักเทรดขนาดเล็ก และการเคลื่อนไหวของราคามักจะเกิดในรูปแบบที่พยากรณ์ได้ เช่น ขณะที่ตลาดมักเคลื่อนไหวภายในกรอบราคา แต่ราคามักเปลี่ยนไปยังระดับที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าปกติ

หลักการ Wyckoff อ้างอิงจากสามกฎพื้นฐาน

  • กฎอุปสงค์และอุปทาน: เมื่ออุปสงค์ (ความต้องการ) เพิ่มขึ้น ราคาจะเพิ่มขึ้น แต่หากอุปสงค์ลดลง ราคาจะลดลง การเพิ่มขึ้นของราคาเป็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของผู้ซื้อ ขณะที่การลดลงของราคาบ่งชี้ถึงการเพิ่มขึ้นของผู้ขาย ในหลักการ Wyckoff กราฟถูกใช้เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบจากเหตุเหล่านี้ เขาเสนอการตั้งเป้าหมายการเทรดโดยอิงจากความยาวของระยะสะสมและระยะแจกจ่าย ช่วยให้นักเทรดคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของปริมาณการเทรดในตลาดหลังช่วงราคาพักฐานหรือราคาทะลุแนว
  • กฎแห่งเหตุและผล: เหตุการณ์เฉพาะเจาะจงเปลี่ยนแปลงอุปสงค์และอุปทาน ทำให้เกิดแนวโน้มขาขึ้นหรือแนวโน้มขาลง นักเทรดใช้กฎนี้ในการสร้างเป้าหมายเงินกำไร คุณ Wyckoff เน้นย้ำว่ากฎแห่งเหตุและผลเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญที่สุดในตลาดการเงิน กฎนี้แสดงให้เห็นว่าหากอุปสงค์มากกว่าอุปทาน ราคาจะเพิ่มขึ้น แสดงถึงความสนใจซื้อที่เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน หากอุปสงค์ต่ำกว่าอุปทาน ราคาจะลดลง แสดงถึงความสนใจในสินทรัพย์น้อยลง
  • กฎแห่งแรงและผลของแรง: กฎนี้เสนอแนะความไม่สัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการเทรดเป็นสัญญาณการเปลี่ยนทิศทางแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น หากราคาและปริมาณการเทรดสอดคล้องกัน แนวโน้มจะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในทิศทางเดิม อย่างไรก็ตาม หากราคาและปริมาณการเทรดไม่สอดคล้องกัน แนวโน้มอาจเปลี่ยนทิศทางได้ เช่น ในตลาด Forex หลังจากเป็นแนวโน้มขาลงมานาน การเพิ่มขึ้นของปริมาณการเทรดแต่ราคามีการเคลื่อนไหวน้อยบอกเป็นนัยถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ปริมาณการเทรดสูงแสดงถึงแรงตลาดที่แข็งแกร่ง ขณะที่ราคาไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญแสดงให้เห็นการสิ้นสุดของแนวโน้มขาลง

นอกจากนี้ คุณ Wyckoff นำเสนอแนวคิด 'บุคคลรวม' หรือ 'ผู้ดำเนินการ' ในกรอบของ Wyckoff บุคคลรวม/ผู้ดำเนินการหมายถึงพลังร่วมที่ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของตลาด พูดง่าย ๆ คือให้มองเป็นบุคคลเดียว ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้ว บุคคลรวม/ผู้ดำเนินการเป็นตัวแทนของผู้เข้าร่วมตลาดมากมาย เช่น นักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบัน บุคคลรวมมีพฤติกรรมค่อนข้างแตกต่างจากนักเทรดทั่วไป (ที่มักเผชิญผลขาดทุน) ผลลัพธ์คือ หน้าที่สำคัญของนักเทรดที่ประสบความสำเร็จคือทำความเข้าใจเจตนาของผู้ดำเนินการและดำเนินการตามนั้น


วัฏจักรตลาดของ Wyckoff

ราคาจะเคลื่อนไหวผ่านสี่ระยะของวัฏจักรภายใต้อิทธิพลของการกระทำจากผู้เข้าร่วมตลาดรายใหญ่ที่มีประสบการณ์ ได้แก่ ระยะสะสม ระยะเติบโต ระยะถดถอยและระยะแจกจ่าย


1. ระยะสะสม
2. ระยะเติบโต
3. ระยะแจกจ่าย
4. ระยะถดถอย

เรามาพิจารณาระยะที่กล่าวข้างต้นอย่างละเอียด

ระยะที่ 1. ระยะสะสมคือระยะที่ราคาเคลื่อนไหวภายในกรอบราคา ซึ่งผู้เข้าร่วมตลาดรายใหญ่สะสมฐานะซื้อจำนวนมาก ป้องกันมิให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ

ระยะที่ 2. ระยะเติบโต (โมเมนตัมขาขึ้น) คือแนวโน้มขาขึ้นแบบคลาสสิกที่มีจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลานี้ หลักทรัพย์ดึงดูดความสนใจจากนักเทรดตามกระแส ('ฝูงชน') และนักเทรดที่มีประสบการณ์ทำเงินกำไรบางส่วนโดยปล่อยให้ราคาวิ่งขึ้นต่อไป

ระยะที่ 3. ระยะแจกจ่ายคือภาพตรงกันข้ามของระยะที่ 1 หรือก็คือตรรกะตรงข้ามกัน กล่าวคือผู้เข้าร่วมตลาดรายใหญ่ทยอยปล่อย ('ขาย') สินทรัพย์ปัจจุบันของพวกเขา

ระยะที่ 4. ระยะถดถอย (จังหวะขาลง) แรงกดดันจากฐานะที่ไม่ทำกำไรนำไปสู่การบังคับปิดฐานะ ทำให้ตลาดดิ่งลงอย่างหนักเนื่องจากอุปทานมากเกินไป ซึ่งผู้เข้าร่วมตลาดที่มีประสบการณ์สามารถซื้อคืนสินทรัพย์ ณ จุดนี้


วิธีระบุระยะต่าง ๆ ในวัฏจักรตลาดของ Wyckoff

การกำหนดระยะมีหลายขั้นตอน เรามาเจาะลึกอย่างละเอียดกัน

ระยะสะสม

ในระยะสะสม ตลาดแสดงสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทิศทางแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น อย่างแรก แนวรับเบื้องต้น (PS) ปรากฏขึ้น เป็นสัญญาณแรกว่าผู้ซื้อแสดงความสนใจหลังช่วงแนวโน้มขาลง ปริมาณการเทรดเพิ่มขึ้นและราคาลดช้าลง ตามมาด้วยจุดขายต่ำสุด (SC) เป็นช่วงเทขายสินทรัพย์จำนวนมากในตลาด มักเป็นสัญญาณการสิ้นสุดของแนวโน้มขาลง หลังจาก SC ขอให้คุณจับตามองการเพิ่มขึ้นอัตโนมัติ (AR) การฟื้นตัวของราคาอย่างรวดเร็วและรุนแรงนี้มักเกิดขึ้นในปริมาณน้อยลง จากนั้น ตลาดจะเข้าสู่การทดสอบครั้งที่สอง (ST) ราคากลับมายังจุดต่ำสุดของ SC ในปริมาณน้อยลงเพื่อทดสอบว่าแรงขายหมดแล้วหรือยัง

กราฟด้านล่างแสดงภาพระยะที่กล่าวข้างต้น


1. แนวรับเบื้องต้น (PS)
2. จุดขายต่ำสุด (SC)
3. การเพิ่มขึ้นอัตโนมัติ (AR)
4. การทดสอบครั้งที่สอง (ST)
5. แนวรับ
6. แนวต้าน
7. Spring

สุดท้าย มองหา Spring—การเคลื่อนไหวของราคาสั้น ๆ ที่ต่ำกว่ากรอบราคาก่อนจะกลับทิศทางอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นกับดักหมีสุดท้ายก่อนจะเป็นจุดเริ่มต้นของขาขึ้น

ระยะแจกจ่าย

ระยะแจกจ่ายของ Wyckoff เป็นสัญญาณของจุดสิ้นสุดที่เป็นไปได้ของแนวโน้มขาขึ้น โดยเริ่มจากการซื้อก่อนหน้า (PSY) สัญญาณแรกของแรงขายหลังจากแนวโน้มขาขึ้นโดยมีปริมาณการเทรดเพิ่มขึ้นและการเติบโตของราคาที่ลดลง ตามมาด้วยจุดซื้อสูงสุด (BC) ช่วงซื้อสินทรัพย์อย่างคึกคักโดยมีปริมาณการเทรดสูงมาก มักเป็นสัญญาณการสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น หลังจาก BC จับตามองการสะท้อนอัตโนมัติ (AR) การลดลงของราคาอย่างรวดเร็วและรุนแรงหลายครั้งมักเกิดขึ้นในปริมาณน้อยลง จากนั้น ตลาดเข้าสู่การทดสอบครั้งที่สอง (ST) เมื่อราคากลับมายังจุดสูงสุดของ BC ในปริมาณน้อยลงเพื่อทดสอบว่าแรงซื้อหมดแล้วหรือยัง

สุดท้าย สังเกตแนวโน้มขาขึ้นหลังการแจกจ่าย (UTAD) การเคลื่อนไหวสั้น ๆ เหนือกรอบราคาที่กลับทิศทางอย่างรวดเร็วและมักถูกมองว่าเป็นกับดักกระทิงสุดท้ายก่อนจะเป็นจุดเริ่มต้นของขาลง เมื่อคุณระบุระยะต่าง ๆ ของรูปแบบ Wyckoff แล้ว คุณสามารถไปที่การเทรดได้

เราจะพูดถึงเรื่องนี้ในภายหลัง เรามาดูข้อดีและข้อเสียของเครื่องมือทางเทคนิคนี้กัน


ข้อดีและข้อเสียของรูปแบบ Wyckoff

จุดแข็งของหลักการนี้ประกอบด้วยการวิเคราะห์อย่างครอบคลุม การควบคุมความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ สัญญาณตลาดที่สามารถวัดได้และการศึกษาราคาควบคู่กับปริมาณการเทรด คุณ Wyckoff ยังพัฒนากราฟประเภทใหม่ (กราฟ Dot Dot) ช่วยให้คุณสามารถพยากรณ์ระดับราคาเป้าหมาย (พูดง่าย ๆ คือ สินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากน้อยแค่ไหน)

การใช้หลักการนี้ในตลาด Forex มีข้อดีหลายประการ

  • วิเคราะห์วัฏจักรตลาด หลักการนี้ช่วยให้คุณระบุระยะต่าง ๆ ของราคาสินทรัพย์
  • กำหนดจุดเข้าและจุดออก รูปแบบ Wyckoff ช่วยให้นักเทรดกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการซื้อและขาย
  • ตระหนักรู้แนวโน้มตลาด ช่วยให้คุณเข้าใจการเคลื่อนไหวของเงินในตลาดดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม หลักการนี้มีข้อเสียบางประการ

  • ไม่เหมาะสำหรับนักเทรดระยะสั้น มีตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าหลักการ Wyckoff สำหรับนักเทรดระยะสั้น
  • ใช้ยาก การใช้หลักการนี้ต้องวิเคราะห์ปัจจัยตลาดต่าง ๆ มากมาย เช่น ระดับแนวรับและแนวต้าน อัตราส่วนราคาต่อปริมาณการเทรด ตลอดจนพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ พร้อมกัน

โดยทั่วไปแล้ว การเทรดโดยใช้หลักการนี้ต้องใช้แนวทางที่เป็นระบบและการศึกษาหลักการเชิงทฤษฎีอย่างละเอียดตามที่กำหนดโดยคุณ Wyckoff และผู้ติดตามของเขา


วิธีเทรดโดยใช้รูปแบบ Wyckoff

หลักการนี้อ้างอิงจากกฎการเทรด กลยุทธ์และทฤษฎีของ Wyckoff เราขอเสนอแนวทางการใช้รูปแบบ Wyckoff ใน Forex ทีละขั้นตอน

  1. วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดปัจจุบันและพยากรณ์อนาคต ประเมินว่าตลาดจะขึ้นหรือลง
  2. เลือกสินทรัพย์ที่ตรงกับทิศทางแนวโน้ม ให้ความสนใจสินทรัพย์ที่แสดงความแข็งแกร่งมากกว่าในช่วงขาขึ้นและการลดลงน้อยกว่าในช่วงขาลง
  3. เลือกสินทรัพย์ในระยะสะสมหรือแจกจ่าย (หากคุณจะขาย) สินทรัพย์อาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นและอาจถึงหรือเกินราคาเป้าหมายของคุณ
  4. ประเมินความพร้อมในการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ ศึกษาราคา ปริมาณการเทรดและพลวัตของตลาดโดยรวม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวเลือกของคุณเหมาะสมและคุณพร้อมเปิดฐานะ
  5. จับจังหวะการเทรดเพื่อใช้ประโยชน์จากการกลับทิศทางของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ หากคุณเชื่อว่าตลาดจะกลับทิศทางเป็นขาขึ้น ซื้อสินทรัพย์ หากการวิเคราะห์ของคุณแสดงให้เห็นว่าตลาดจะเป็นขาลง ขายสินทรัพย์

ข้อสรุป

  • หลักการ Wyckoff เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทำให้นักลงทุนทราบว่าควรซื้อสินทรัพย์ใดและเมื่อใด
  • แก่นของหลักการนี้คือการวิเคราะห์วัฏจักรตลาด ซึ่งกำหนดการเคลื่อนไหวของตลาด (อ้างอิงจากคุณ Wyckoff)
  • วัฏจักรตลาดประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่ ระยะสะสม ระยะเติบโต ระยะแจกจ่ายและระยะถดถอย
  • คุณ Wyckoff เชื่อว่าแนวโน้มราคาไม่เคยเกิดซ้ำอย่างสมบูรณ์ และควรพิจารณาพฤติกรรมราคาในอดีตเมื่อทำการตัดสินใจ
  • การใช้ทฤษฎี Wyckoff ช่วยให้นักเทรดสามารถตัดสินใจโดยมีข้อมูลครบถ้วนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการซื้อและขายสินทรัพย์ โดยอ้างอิงจากการวิเคราะห์วัฏจักรตลาด

มาเป็นนักเทรดมืออาชีพกับ Octa

สร้างบัญชีและเริ่มฝึกฝนตอนนี้

Octa